นาฏศิลป์

เนื้อหา การแสดงนาฏศิลป์ไทยและสากล
1. ระบำ รำ ฟ้อน
การแสดงนาฏศิลป์เป็นการแสดงออกทางศิลปะของการ่ายรำที่มุ่งเน้นให้เห็นถึงอารมอันสุทรี ประกอบเข้ากับศิลปะด้านดุริยางคศิลป์ ระำบำ รำ ฟ้อน เป็นศิลปะแห่งการร่ายรำประกอบเพลง ดนตรีและบทขับร้อง ซิ้งมีความหมายที่จะอะิบายได้พอสังเขป

    ระบำ คือ ศิลปะของการร่ายรำที่แสดงพร้อมกันเป็นหมู่เป็นชุด ความงามของการแสดงระบำ อยู่ที่ความสอดประสานกลมกลืนกัน ด้วยความพร้อมเพรียงกัน  การแสดงมีทั้งเนื้อร้องและไม่มีเนื้อร้อง ใช้เพียงดนตรีประกอบ  คำว่า "ระบำ" รวมเอา "ฟ้อน" และ "เซิ้ง" เข้าไว้ด้วยกัน เพราะวิธีการแสดงไปในรูปเดียวกัน แตกต่างกันที่วิธีร่ายรำ และการแต่งกายตามระเบียบประเพณีตามท้องถิ่น
ระบำ แบ่งออกเป็น ชนิด คือ ระบำดั้งเดิมหรือระบำมาตรฐาน และระบำปรับปรุงหรือระบำเบ็ดเตล็ด
   รำ หมายถึง การแสดงที่มุ่งความงามของการร่ายรำ เป็นการแสดงท่าทางลีลาของผู้รำ โดยใช้มือแขนเป็นหลัก
1. การรำเดี่ยว คือ การรำที่ใช้ผู้แสดงเพียงคนเดียว จุดมุ่งหมายคือ
     1.1  ต้องการอวดฝีมือในการรำ
     1.2 ต้องการแสดงศิลปะร่ายรำ
     1.3 ต้อง การสลับฉากเพื่อรอการจัดฉากหรือตัวละครแต่งกายยังไม่เสร็จเรียบร้อย การรำเดี่ยว เช่น การรำฉุยฉายต่าง ๆ รำมโนราห์บูชายัญ รำพลายชุมพล ฯลฯ
2.  การรำคู่  แบ่งเป็น ประเภท คือ รำคู่ในเชิงศิลปะการต่อสู้ ไม่มีบทร้อง และรำคู่ในชุดสวยงาม
     2.1  การรำคู่ในเชิงศิลปะการต่อสู้ ได้แก่ กระบี่ กระบอง ดาบสองมือ โล่ ดาบ เขน ดั้ง ทวน และรำกริชเป็นการรำไม่มีบทร้องใช้สลับฉากในการแสดง 
     2.2  การรำคู่ในชุดสวยงาม ท่ารำในการรำจะต้องประดิษฐ์ให้สวยงาม ทั้งท่ารำที่มีคำร้องตลอดชุด หรือมีบางช่วงเพื่ออวดลีลาท่ารำ มีบทร้องและใช้ท่าทางแสดงความหมายในตอนนั้น ๆ ได้แก่ หนุมานจับสุพรรณมัจฉา หนุมานจับนางเบญกาย พระรามตามกวาง พระลอตามไก่ รามสูร เมขลา รจนาเสี่ยงพวงมาลัย ทุษยันต์ตามกวาง รำแม่บท รำประเลง รำดอกไม้เงินทอง รถเสนจับม้า
3.  การรำหมู่  เป็นการแสดงมากกว่า คนขึ้นไป ได้แก่ รำโคม ญวนรำกระถาง รำพัด รำวงมาตรฐาน และรำวงทั่วไป การแสดงพื้นเมืองของชาวบ้าน เช่น เต้นกำรำเคียว รำกลองยาว  

 ฟ้อน  หมายถึง ศิลปะการแสดงที่เป็นประเพณีของทางภาคเหนือ จะใช้ผู้แสดงเป็นจำนวนมาก
มีลีลาการฟ้อนพร้อมเพรียงกันด้วยจังหวะที่ค่อนข้างช้า 

เอกลักษณ์และความสำคัญของการฟ้อนรำไทย
          การฟ้อนรำของไทย มีลักษณะเฉพาะตัว และมีความเป็นไทยในตัวเองเป็นอย่างยิ่ง เป็นศิลปะประจำชาติ ไม่ซ้ำหรือเหมือนของชาติอื่น นับว่าเป็นสมบัติอันเป็นวัฒนธรรมของชาติที่น่าภูมิใจยิ่ง

การแสดงพื้นเมืองภาคต่างๆ
1. ภาคกลาง ได้แก่ รำกลองยาว เพลงเทพทอง อีแซว เพลงฉ่อย ลำตัด 
เต้นกำรำเคียว รำเหย่อย เพลงพวงมาลัย เพลงเรือ เพลงปรบไก่ เพลงเกี่ยวข้าว 
เพลงทรงเครื่อง   
   1.1รำกลองยาว 

เข้ามาใน ร. 4 โดยชาวพม่าพวกหนึ่งนำเข้ามา มีบทร้องกราวรำยกทัพพม่า 
ในการแสดงละครเรื่อง พระอภัยมณีตอนเก้าทัพ และไทยเราเห็นเล่นง่ายสนุกสนาน 
จึงนิยมนำมาเล่นกันจนบัดนี้
วิธีเล่น ผู้เล่นแบ่งเป็น 2 ฝ่าย คือ
- ฝ่ายตีกลองยาว ผู้ตีมักทำท่าต่างๆ สนุกสนาน ออกท่าลีลาต่างๆ 
- ฝ่ายรำ ต้องรำให้เข้ากับจังหวะกลองยาว
** เครื่องดนตรีที่ใช้ กลองยาว กรับหรือเกราะ ฉาบเล็ก โหม่ง ฉิ่ง

1.6 เต้นกำรำเคียว
 เป็นเพลงพื้นบ้านของชาวนครสวรรค์ นิยมเล่นกันในฤดูเก็บเกี่ยวข้าว 
หลังการเก็บเกี่ยวข้าวเมื่อรู้สึกเหน็ดเหนื่อย จึงผ่อนคลายโดยการตั้งวงเต้นกำรำเคียว 
วิธีเล่น ชายหญิง จะถือเคียวคนละมือ และรวงข้าวอีกมือ เต้นรำร้องเกี้ยวพาราสีกัน
ต่อมากรมศิลปากร โดยนายมนตรี ตราโมท ได้ทำดนตรีประกอบและนำออกแสดง
ในงานบันเทิง2. ภาคเหนือ (ฟ้อน) ฟ้อนเงี้ยว ฟ้อนลาวแพน ฟ้อนสาวไหม กลองสะบัดชัย
ซอเมือง ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน ฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตา ฟ้อนดาบ ฟ้อนเงี้ยว 
       2.1 ฟ้อนเงี้ยว 
เป็นการเล่นสนุกสนานของชาวไทยเผ่าหนึ่งในแคว้นฉาน พม่า มีทั้งเนื้อร้องคำเมือง
และภาษาภาคกลาง 
       2.2 ฟ้อนลาวแพน
เรียกชื่อตามชื่อเพลงทางดนตรีที่บรรเลงเดี่ยวอวดฝีมือ เครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลง 
คือ จะเข้และปี่ 
ท่ารำประดิษฐ์ขึ้นโดยนำมาจากละครเรื่องพระลอ ตอนพระลอลงสรงในแม่น้ำกาหลง
โดยยึดท่าฟ้อนทางเหนือและอีสานเป็นแบ บ ดัดแปลงให้เข้ากับทำนอง ใช้แสดงเดี่ยว
ต่อมาจึงดัดแปลงเป็นหลายคน 
        2.3 ฟ้อนสาวไหม 
เป็นการฟ้อนของสาวเชียงใหม่ ที่เลียนแบบลีลาท่าทางจากอาชีพทอผ้าไหมของสาวๆ
ครูพลอยศรีสรรพศรี เป็นผู้คิด ประดิษฐ์ท่าฟ้อน จากท่าปั่นฝ้ายและสาวไหม
3. ภาคอีสาน ได้แก่ เซิ้งกระติ๊บข้าว หมอลำ หมอแคน เพลงโคราช ฟ้อนภูไท
เซิ้งกระหยัง แสกเต้นสาก เรือมอันเร ลิเกกลองยาว เซิ้งบั้งไฟ 
       3.1 เซิ้งกระติ๊บข้าว
กำเนิดมาจาก อ. เรณูนคร จ. นครพนม ต่อมาวิทยาลัยนาฏศิลป์กรมศิลปากร 
ได้รับการถ่ายทอดจากคณะครู และนำมาแสดงเป็นครั้งแรก ในการต้อนรับ
พระราชอาคันตุกะ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ณ. หอประชุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในปี ค.ศ 2509
ดนตรีที่ใช้ประกอบนั้นใช้กลองยาวเป็นหลัก แคน และกรับ การแต่งกาย 
หญิง ใส่เสื้อแขนกระบอกนุ่งซิ่น(คอนข้างสั้น)สะพายกระติ๊บข้าว
        3.2 หมอลำ
หมอแคน ถ้ามีการขับลำอย่างเดียว โดยไม่มีแคนเป่าคลอ เรียกว่า "หมอลำ"
แต่ถ้ามีการขับลำและนำแคนมาเป่าคลอด้วย เรียก" หมอลำ หมอแคน " 
จะแสดงที่ลานกว้าง หรือจะยกเวทีขึ้นก็ได้ จะแสดง 3 - 4 คนเท่านั้น 
ไม่รวมนับถึง หมอแคน แบ่งเป็น 3 ชนิด 
- ลำเรื่อง จะลำว่าเป็นเรื่องราว ว่ากันเปป็นรเหตุการณ์ทั่วๆไป
- ลำประชัน เป็นการลำร้องแก้กันคนละกลอน เเพื่อลับฝีปากว่าใครจะแน่กว่ากัน 
- ลำเกี้ยว เป็นการลำในเชิงเกี้ยวพาราสีกัน บางที่จะพรรณาถึงคู่ครอง 
ซึ่งอาจจะติชมกันถึงแก่น คนขอบฟังกันมาก
ประเภทเพลง "ลำ" อีสานมีหลายประเภท เช่น ลำกลอน ลำโจทย์แก้ 
ลำเกี้ยว ลำชิงชู้ ลำพื้น ( ลำเรื่อง) ลำหมู่ ลำเพลิน ลำเต้ย และลำผีฟ้า
โอกาสแสดง งานบวช ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า โกนจุก งานมงคลต่างๆ
          3.3 เพลงโคราช
นิยมในจังหวัดนครราชสีมา และใกล้เคียง มีลักษณะเป็นกลอนเพลง 
ปฏิพากย์ ที่ใช้ไหวพริบ ในการแก้ปัญหาในการร้องตอบโต้ 
เพลงโคราชเป็นเพลงครูของเพลงเรือ การเล่น ชายหญิงจะเริ่มต้นไหว้ครู 
บทเกริ่น บทเกี้ยว บทลักหาพาหนี แต่มีเพลงโคราชหลายเพลงที่ใช้แง่คิด 
ในรูปของ สุภาษิต ปรัชญา และสะท้อนแง่คิดในชีวิตประจำวัน 
          3.4 ฟ้อนภูไท
นิยมเล่นในจังหวัด สกลนคร และใกล้เคียง ในงานรื่นเริง วันนักขัตฤกษ์
โดยจะเริ่มด้วยผู้ ตีกลองจึง( กลองชนิดหนึ่งของชาวภูไทย )และ แคน 
4. ภาคใต้ เป็นดินแดนที่มีมรสุมตลอดปี และเป็นแหล่งอารยธรรมที่รุ่งโรจน์ในอดีต 
มีรำพื้นเมืองรูปแบบต่างๆ เช่น รองเง็ง เพลงบอก เพลงนา กริช มโนราห์ 
หนังตะลุง มะโย่ง ลิละ เพลงคำตัก 
          4.1 รองเง็ง
เดิมเป็นการแสดงในราชสำนักมาเลเซีย เจ้าเมืองจะจัดหาหญิงสาวให้ฝึกเต้นรองเง็ง 
เพื่อเอาไว้ ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ต่อมาได้ออกมาสู่ประชาชน 
แพร่หลายเข้าสู่ตอนใต้ของไทย ใช้ผู้แสดง ชายและหญิงรวมกัน 
การแต่งกาย หญิงนุ่งโสร่ง มีลวดลายดอกดวงต่างๆกัน 
สวมเสื้อแขนยาวคอกลม หรือ คอชวา ยาว ปิดโสร่ง ผ่าอกตลอด 
ตัวเสื้อต้องเข้ารูปตรงเอวมาก ๆ แลเห็นสะโพกผาย มีผ้าคลุมไหล่ 
วิธีเล่น ดนตรีใช้ ฆ้อง กลองรำมะนา และไวโอลิน เมื่อดนตรีเร่มบรรเลง 
ฝ่ายหญิงจะเริ่มร้องเชื้อเชิญ ให้ผู้ชมเข้าสู่วง 
เต้นด้วยเนื้อร้องจะชมธรรมชาติความสวยงาม และเกี้ยวพาราสี 
ที่นิยมร้อง จะมี 6 - 7 เพลงเท่านั้น จังหวะเต้นจะต่างกันไป 
ความเด่นของรองเง็ง อยู่ที่ความพร้อมเพรียงและการก้าวหน้าถอยหลัง
ชายและหญิงต้องอยู่ในครึ่งวงกลมกลางเวที
                4.2 เพลงบอก


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น